วาเลนไทน์ ทำไม? จึงเป็นวันแห่งความรัก

          ใกล้ถึงวันวาเลนไทน์ เข้ามาทุกทีแล้ว... คิดกันหรือยังคะว่าจะให้อะไรกับคนที่เรารัก และคนรอบข้าง... แต่ความจริงแล้วการที่จะรักหรือหวังดีต่อกันนั้น ทำได้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องเฉพาะวันวาเลนไทน์ก็ได้จริงไหมคะ... แต่เพราะอะไรวันนี้จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวันแห่งความรักนะ... เราลองมาย้อนไปในยุคที่เริ่มมีวันนี้กันดีกว่าค่ะ...
 
     
            สมัยก่อนตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ที่กรุงโรมนั้น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ซึ่งชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่งอิสตรีและการแต่งงาน และถัดมาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างหนึ่ง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็กๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือกเด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่ม และเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด  
     
            ต่อมาภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และจักรพรรดิคลอดิอุส เชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัว และคนอันเป็นที่รักไป ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุส ประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม แต่ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือท่านนักบุญวาเลนไทน์ ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฎหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม ภายในงานแต่งที่แอบจัดขึ้นนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกันในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย  
     
            แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงฝีเท้าของทหาร โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน แต่ท่านนักบุญวาเลนไทน์ถูกจับขังคุกและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านต้องเฝ้าให้กำลังใจตนเองอยู่เพียงลำพัง แล้ววันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้นเด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก เพื่อต้องการสื่อให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่าพวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักเช่นเดียวกัน ซึ่งในบรรดาเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้น มีลูกสาวของผู้คุมนักโทษรวมอยู่ด้วยพ่อของเธออนุญาตให้เธอมาเยี่ยมท่านได้ เธอเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฎหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการจัดงานแต่งงานอย่างลับๆของท่านนักบุญอีกด้วย เธอมาช่วยให้กำลังใจท่านและ ในบางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง…ในวันที่นักบุญวาเลนไทน์ เสียชีวิตนั้น ท่านได้เขียนจดหมายไว้ฉบับหนึ่งเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพ และความจงรักภักดีของหญิงสาวผู้นั้น แล้วท่านนักบุญก็ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า "Love from your Valentine. "ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน…  
     
            จากเรื่องราวที่เป็นเรื่องเศร้า... แต่ก็ทำให้มีวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักเกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้เพื่อระลึกถึงความเสียสละและความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ของนักบุญวาเลนไทน์… และทำให้เราได้ตระหนักว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอถ้าเรารักอย่างไม่เห็นแก่ตัว ไม่หวังสิ่งตอบแทน และไม่คิดครอบครอง... รักคือการมุ่งหวังให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขปราศจากทุกข์... รักคือการให้.... ลองเริ่มจากการให้ที่ไม่ต้องเสียอะไรเลยกันดีไหมคะ... นั้นคือ... การให้อภัยค่ะ... …  
     
 
อ้างอิงและขอบคุณข้อมูล: วันวาเลนไทน์ จากเว็บ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี(wikipedia.org)
 
     



เรื่อง และถ่ายภาพ alexlivfc@hotmail.com