ความเชื่อ

Base on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

แจ่ม สาวใหญ่ที่ยังคงอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ เธอมีภูมิลำเนาอยู่ในภาคอีสานของไทย แจ่มเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาที่ครอบครัวยากจนและเรียนหนังสือได้แค่พออ่านออกเขียนได้ แจ่ม มีลักษณะภายนอกตามแบบของชาวตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป ผิวคล้ำ ใบหน้าเหลี่ยม โหนกแก้มสูง และจมูกไม่โด่งนัก เมื่อพิจารณารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสูงวัยกว่าอายุจริงของแจ่มแล้ว ทำให้เราเดาได้ไม่ยากเลยว่าชีวิตที่ผ่านมาของแจ่มเป็นอย่างไร... เธอคงไม่ได้สุขสบายนัก…

แจ่ม เป็นชาวบ้านที่ครอบครัวไม่มีที่ทำกิน เธอและสามีที่วัยไล่เลี่ยกัน ต้องออกทำงานรับจ้าง เกี่ยวข้าว ทำสวน จนกระทั่งทำงานหนัก แบกหาม เลื่อยไม้ เผาถ่าน เข้าทำนองหามื้อกินมื้อ บ้านของแจ่มตั้งอยู่ไม่ไกลเขตเมืองนักแต่สภาพบ้านของเธอนั้นซ่อมซ่อเหมือนแค่นำไม้มาต่อๆ ปะๆ แค่พอบังแดด บังลม บังฝน ประตูบ้านก็ยังใช้ผ้าห่มเก่าๆ ซีดๆ มาผูกกั้นไว้ แจ่มบอกกับเราอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าโจรเข้ามาคงโกรธตาย ไม่มีอะไรให้ขโมยเลยโทรทัศน์ก็ยังไม่มี แต่ถ้ามีโทรศน์ก็ไม่รู้ว่าจะนอนกันตรงไหน ” ก็นั่นสินะบ้าน หรือ เพิง หลังนิดเดียวแต่มีสมาชิกครอบครัวอยู่กันตั้ง 9 คน

ชีวิตครอบครัวของแจ่มกับสามีไม่ราบรื่นนัก เนื่องจาก ปัญหาเศรษฐกิจและการมีลูกมาก อีกทั้งสามีของแจ่มเคยตกต้นไม้จนปัจจจุบันแขนข้างซ้ายพิการเขาจึงทำงานอะไรไม่ได้มากมายนัก ภาระหน้าที่การหาเงินแทบทั้งหมดก็มาตกอยู่กับแจ่ม ส่วนสามีของแจ่มเมื่อบทบาทหน้าที่ในครอบครัวลดลงก็หันไปใช้เวลาว่างอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยการกินเหล้า เมากลับบ้านก็มาหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งด้วยความหวาดระแวงหึงหวงกับแจ่ม และอย่างที่ใครๆ มักบอกว่าผัวเมียที่ทะเลาะกันมักลูกดกก็คงจะจริง เพราะแจ่มตั้งครรภ์ทั้งหมด 13 ครั้ง แต่แท้งไป 6 ท้อง ดังนั้นแจ่มจึงมีลูกที่รอดชีวิตมาให้ต้องเลี้ยงดูรวมทั้งหมด 7 คน ถ้าคำโบราณกล่าวไว้ว่ามีลูก 1 คน จนไป 7 ปี เทียบกับของแจ่มแล้ว มีลูก 7 คน ก็น่าจะจนไป 49 ปี นั่นก็คงจะจริง จากปัญหาดังกล่าวของครอบครัวแจ่ม ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา แจ่มไม่มีเงินส่งลูกเรียน ลูกสาวคนโตที่พอเรียนจบได้เพียงประถมหก ก็ต้องออกมาทำงานรับจ้างช่วยเหลือพ่อแม่และส่งน้องๆ เรียน จนความจำเป็นผลักไสให้ลูกสาวคนโตของแจ่มถูกลวงมาขายแรงงานตั้งแต่อายุยังน้อยนิด และนายจ้างใช้แรงงานเด็กเยี่ยงทาส เข้าข่ายคดีค้ามนุษย์กรณีหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้บ้านพักฉุกเฉินเข้ามามีส่วนช่วยเหลือครอบครัวของแจ่ม

จริงๆแล้วแจ่มมาพักที่บ้านพักฉุกเฉิน ระหว่างที่ลูกสาวรอการดำเนินการช่วยเหลือ ทั้งเรื่องการดำเนินคดี และการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจ จึงทำให้ทีมช่วยเหลือได้รู้พื้นเพของครอบครัวนี้ และได้แนะนำให้ แจ่ม คุมกำเนิดด้วยการทำหมันถาวร แจ่มเองก็มีความต้องการเช่นเดียวกันแต่สาเหตุหลักอยู่ที่สามีของแจ่มไม่ยอมให้เมียทำหมัน และก็ยังไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ไปทำหมันเองด้วย หลักใหญ่ใจความแล้วคือ สามีของแจ่มมีความเชื่ออย่างฝังหัวและยังเป็นความเชื่ออย่างผิดๆว่า

“ การทำหมันจะทำให้ฝ่ายชายมีสมรรถภาพทางเพศลดลง และสำหรับฝ่ายหญิงหากทำหมันจะทำให้ไม่สามารถทำงานหนักได้ มีอารมณ์ทางเพศหรือมีความต้องการทางเพศมากขึ้น และจะนำไปสู่หนทางให้เมียของตนไปมีชู้ ”

ซึ่งความเชื่อแบบนี้ก็ยังส่งต่อมาถึงแจ่ม เพราะแม้แจ่มจะเบื่อหน่ายกับการตั้งท้องมีลูก แม้แจ่มจะอยากทำหมันแต่ถ้าทำไปแล้วเป็นอย่างที่สามีบอกแจ่มก็กลัวเหมือนกัน แม้เจ้าหน้าที่จะพูดคุยทำความเข้าใจแต่สามีของแจ่มก็ยังคงมีความเชื่อเช่นเดิมและไม่ยินยอมให้แจ่มทำหมันอย่างแน่นอน แม้การทำหมันจะเป็นสิทธิของฝ่ายหญิง แต่หากทำไปแล้วมีผลกระทบต่อครอบครัวเมื่อต้องกลับไปอยู่บ้านแล้วต้องมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันตัวแจ่มเองก็กลัว และเบื่อกับการทะเลาะกับสามีเรื่องหึงหวงอย่างไร้สาระนี้เต็มที แต่ในที่สุดเมื่อบ้านพักฉุกเฉินพาแจ่มไปโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของแผนกวางแผนครอบครัวได้อธิบายความรู้เรื่องการคุมกำเนิดโดยการทำหมันให้กับแจ่มฟัง แจ่มจึงตัดสินใจทำหมันถาวร เป็นอันเรียบร้อย เมื่อสามีของแจ่มที่เป็นฝ่ายเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านระหว่างที่แจ่มอยู่บ้านพักฉุกเฉิน ทราบว่าเมียของตนได้ทำหมันแล้วผลกระทบจึงตามมา

“พวกมึงพาเมียกูไปทำหมันพวกมึงมันตัวการ เดี๋ยวมันก็จะมีชู้”

“รู้ไหมที่พวกมึงทำจะทำให้ครอบครัวคนอื่นเขาเดือดร้อน เดี๋ยวมันก็ไปเอาผัวใหม่”

“พวกมึงเจ้ากี้เจ้าการเอามันไปทำหมันเดี๋ยวมันก็ทำงานไม่ได้ พวกมีงรู้อะไรบ้างไหม”

นี่คือสิ่งที่สามีของแจ่มมักโทรมาต่อว่าเจ้าหน้าที่บ้านพักฉุกเฉินด้วยความฉุนเฉียว แทบทุกวัน แม้เจ้าหน้าที่จะอธิบายอย่างไรก็เท่านั้นเหมือนเข้าหูซ้ายแล้วทะลุไปหูขวา จนหลังๆ เจ้าหน้าที่จะแค่รับฟังประโยคเหล่านั้นเพื่อให้สามีของแจ่มได้ระบายความโกรธเกรี้ยว

การช่วยเหลือครอบครัวของแจ่มไม่ได้จบลงแค่แจ่มทำหมัน ระหว่างแจ่มพักอยู่กับลูกที่บ้านพักฉุกเฉินนั้นได้สนับสนุนให้แจ่มได้เรียนเย็บผ้า และนวดแผนไทย เพื่อที่จะได้นำไปหารายได้ให้กับครอบครัวเมื่อกลับบ้าน ส่วนลูกสาวของแจ่ม นั้น สมาคมฯ ได้ช่วยเหลือด้านการศึกษา และการดำเนินคดีจนชนะคดีกับนายจ้างใจโหด อีกทั้งยังรับตัวลูกสาวอีกคนหนึ่งของแจ่มมาดูแลและส่งให้เรียนหนังสือต่อไป สำหรับแจ่มเมื่อได้กลับสู่ครอบครัวแล้ว บ้านพักฉุกเฉินได้ไปเยี่ยมบ้านเพื่อทำความเข้าใจกับสามีของเธอ อีกทั้งยังนำข้าวของเครื่องใช้ไปให้เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์ครอบครัวของแจ่มอีกหลายครั้ง จนหลังๆ สามีของแจ่มเริ่มปรับใจยอมรับ... อคติและความเชื่อผิดๆของสามีของแจ่มก็ลดลงไป

การทำงานของบ้านพักฉุกเฉินนั้น หลายครั้งที่ต้องพบเจอกับทัศนคติ ความเชื่อที่ผิด อันส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ ทำให้สถานะทางครอบครัวไม่มั่นคง นำไปสู่เด็กที่เกิดได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ได้มาตราฐาน การศึกษาต่ำ ถูกหลอกขายแรงงาน ถูกหลอกไปขายตัว การต้องไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด จนแม้กระทั่งปัญหาการท้องไม่พร้อม ซึ่งล้วนบ่งบอกว่าประเทศไทยยังมีระบบการศึกษาและระบบสังคมที่ล้มเหลว

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org