รัก ลวง พราง

 
 
 
     
            รักคืออะไร? ถ้าเจอกับคำถามแบบนี้ คงตอบยากเหมือนกันเพราะขึ้นอยู่กับความคิด ความรู้สึกและประสบการณ์ของแต่ละคน สำหรับบางคนที่ความรักสมหวัง อาจตอบว่า คือพรหมลิขิต และเป็นการเติมเต็มครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่สำหรับบางคนที่ผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะให้คำนิยามของความรักว่า ความรักคือ กรรมเพราะกรรมจึงทำให้พบเจอกับความรักที่ไม่สมหวัง ส่วนผู้ที่มองโลกในแง่ดีก็จะมองว่า... รักคือการให้เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุขตนเองก็จะมีความสุขไปด้วย... แต่คนที่มีมุมมองความรักดั่งคนที่มองโลกในแง่ดีนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว… เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราอาจเรียกกันว่า รัก นั้น กลับกลายเป็นการหลอกลวง และซ่อนเร้นอำพราง  
     
            ถ้าอย่างนั้นเราลองมาพิจารณา ความรัก จากเรื่องราวของผู้หญิงที่ประสบปัญหาครอบครัว ในปี 2554 ที่ผ่านมาจากการดำเนินการของบ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ นั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร… ในปี 2554 มีผู้หญิงและเด็กที่ขอรับความช่วยเหลือทั้งหมดทั้งหมด 1,464 ราย ในกรณีนี้เราจะขอตัดเอามาแต่เพียงประเด็นปัญหาที่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง รัก ก็จะพบว่า จากจำนวนผู้หญิงและเด็กที่เข้ามาขอรับคำปรึกษาด้วยตนเองที่บ้านพักฉุกเฉินทั้งหมด 371 ราย ประสบปัญหาที่สืบเนื่องมาจาก สิ่งที่เราอาจเรียกกันว่า รัก จำนวน 270 ราย (ร้อยละ 72.78) แยกตามปัญหาให้เห็นกันชัดๆ ดังนี้
  • ปัญหาครอบครัว 160 ราย
  • ท้องไม่พร้อมจากแฟน 60 ราย
  • ท้องและติดเชื้อเอช ไอ วี จากสามี 3 ราย
  • ถูกสามีทุบตีทำร้าย 35 ราย
  • ท้องจากการถูกข่มขืน 9 ราย(จากแฟน/เพื่อนชาย/น้าเขย)
  • ถูกครอบครัวสามีทำร้าย 2 ราย
  • เด็กทารกที่ถูกทอดทิ้ง 1 ราย
 
     
            ส่วนการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ รวมทั้งสิ้น 1,093 ราย ได้คัดเอาแต่เรื่องที่อาจจะเกี่ยวพันกับความ รัก ก็จะเหลือ 867 ราย(ร้อยละ79.32) แยกตามประเภทปัญหาได้ดังนี้เช่นกัน
  • ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม 566 ราย
  • ปัญหาครอบครัว 202 ราย
  • ความรุนแรงในครอบครัว 99 ราย
 
     
             สรุปโดยรวมแล้ว ในจำนวนผู้หญิงและเด็กที่มาขอรับความช่วยเหลือทั้งหมด ทั้งที่มาติดต่อด้วยตนเองและติดต่อทางโทรศัพท์ เราได้พบว่าปัญหาที่มีความสัมพันธ์หรือข้องแวะกับเรื่องที่อาจเรียกว่า รัก และคู่ นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 1,137 ราย คิดเป็นร้อยละ 77.66 ของจำนวนผู้หญิงและเด็กที่มาขอรับความช่วยเหลือทั้งหมด 1,464 ราย...  
     
            ความรัก-ชีวิตคู่ของผู้หญิงหลายคนที่กำลังหวานชื่นต้องพังลงเมื่อเธอบอกกับแฟนหรือสามีว่าท้อง... หลายคนก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นสามีของคนอื่นอยู่ก่อน... หลายคนต้องติดเชื้อ เอช ไอ วี/เอดส์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ มาจากคู่ครอง... หลายคนที่ช่วงคบหาหรือช่วงโปรโมชั่นหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะคู่ชีวิตเปลี่ยนแปลงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาจนรับไม่ได้... หลายคนถูกแฟน-คนรัก/เพื่อนชายหรือญาติแม้กระทั่งคนในครอบครัว ใช้กำลังให้มีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วให้เหตุผลว่า รัก... หลายคนยอมและอดทนให้คนในครอบครัวของสามีทำร้าย... และอีกหลายคนถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเป็นพ่อของลูกทุบตี ทำร้าย ดุด่า สาดน้ำกรด... จนพวกเธอเหล่านั้นต้องกลายเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ซึมเศร้าและอยากตาย...  
     
            นอกจากนี้ ยังมีชีวิตที่ปฏิสนธิขึ้นมาแต่อาจไม่ได้รับโอกาสให้ลืมตาดูโลก หรือถ้าพลั้งพลาดจนกระทั่งคลอดเด็กออกมาแล้วก็อาจถูกทอดทิ้ง เพราะพ่อแม่ที่ไม่พร้อมด้วยความจำเป็นอันหลากหลาย ซึ่งผลผลิตที่เกิดจากสิ่งที่เราอาจเรียกว่า รัก นี้ เป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิต มีจิตใจ ซึ่งในปีที่แล้วบ้านพักฉุกเฉินได้ให้การเลี้ยงดูอยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อน (วัยแรกเกิด-1.5 ปี) จำนวน 81 ราย... ยังไม่หมดนะคะ เพราะยังมีเด็กอีกวัยหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาครอบครัวอยู่ในบ้านเด็ก (วัย 1.5-9 ปี) อีกจำนวน 64 ราย แล้วชีวิตน้อยๆ พวกนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป... เด็กส่วนหนึ่งอาจได้กลับสู่ครอบครัว... อีกส่วนหนึ่งรอการหาครอบครัวอุปถัมภ์ เนื่องจากแม่ที่แท้จริงมีความจำเป็นที่จะต้องยกบุตรโดยเฉพาะผู้หญิงที่ท้องจากการถูกข่มขืน... อีกส่วนหนึ่งถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์ของรัฐ... เด็กส่วนหนึ่งเฝ้ารอให้แม่มีความพร้อมและมารับไปอยู่ด้วยกันเสียที โดยมีคำถามอยู่ในหัวใจดวงน้อยๆว่า... เมื่อไหร่หนูจะได้กลับบ้าน?  
     
            ที่กล่าวมายังเรียกว่าความรักได้หรือไม่... เพราะดูเหมือนจะมีแต่เรื่องที่ทำให้เป็นทุกข์และเจ็บปวด มีทั้งความหลอกลวง ซ่อนเร้นอำพราง... ความรักที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เราลองมาฟัง ความรัก ในมุมมองของพุทธศาสนากันดูบ้าง... จากที่เคยได้อ่านหนังสือ เรื่อง มหัศจรรย์แห่งรัก(Love Analysis) ซึ่งเขียนโดยพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ท่านได้อธิบายและให้แง่คิดไว้อย่างน่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับความรักว่า "หนุ่ม สาวรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ว่า ความรักมีหลายมิติ แต่ที่เราหยิบมาเน้นทุกวันนี้มีมิติเดียวคือความรักในเชิงชู้สาว ซึ่งมักจะไปจบที่การมีความสัมพันธ์ เพราะว่าไม่อยากจะผูกพัน และนั่นเป็นเหตุให้ก่อปัญหาสังคมตามมามากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงนั้น ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงชายหนุ่มหญิงสาว" ในทรรศนะที่สรุปมาจากองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ความรักมีด้วยกัน 4 มิติ คือ
    1.รักตัวกลัวตาย เป็น ความรักอิงสัญชาตญาณพื้นฐานของการมีชีวิต ความรักเช่นนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกประเภท อันตรายของความรักชนิดนี้ คือถ้ามีมากเกินไปจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว และบางครั้งเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ก็ถึงกับต้องฆ่าคนอื่น
    2.รัก ใคร่ปรารถนา เป็นความรักอิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเครื่องมือของความรักชนิดนี้ ความรักชนิดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ มีความโลภเจืออยู่ นั่นก็คืออยากจะได้ ใคร่จะครอบครอง และถ้าตัวเองได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าประสบความสำเร็จในความรักชนิดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้ตามที่ต้องการ ความโลภอาจจะกลายเป็นความแค้น และ นั่นเป็นเหตุให้หลายครั้ง คนที่รักกันแต่พอผิดหวังจากความรัก จึงลงเอยด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกัน และในบางกรณีถึงขั้นฆาตกรรม ชำแหละคนรักเป็นศพ ไหนบอกว่ารัก ทำไมต้องจบด้วยการฆาตกรรม เพราะลึกๆ แล้วไม่ใช่รัก เป็นแค่ราคะ คือความปรารถนาในกามารมณ์ และเป็นเพียงความโลภ คือต้องการที่จะครอบครองมาเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นความรักชนิดนี้จึงไม่ปลอดภัย ต้องก้าวไปหาความรักที่สูงขึ้น
    3.คือ รักเมตตาอารี คือความรักที่อิงและร่วมทางวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น มีสายเลือดเดียวกัน พ่อแม่ก็จะรักลูกมาก เพราะลูกก็คือสำเนาของตนเอง คนที่ถือศาสนาเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกเพราะมีศาสดาคนเดียวกัน คนที่ถือสัญชาติเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกกับคนสัญชาติเดียวกัน และมนุษย์ด้วยกันก็จะรู้สึกว่าต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าสัตว์ "ความ รักเช่นนี้เป็นความรักที่อาศัยโยงใยทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราจะรักใครก็ตามที่เราเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น ถ้าเราเดินอยู่ในอเมริกาแล้วเจอคนไทย เราจะรู้สึกปีติเบิกบานขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ฝรั่งที่เราเจอก็คนทั้งนั้นแต่เราจะเฉยๆ ถ้าคนไทยคนนั้นเป็นชาวพุทธเหมือนกับเรา ก็ยิ่งดีใจใหญ่ ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะลึกๆ เรามีโยงใยทางวัฒนธรรมร่วมกันบางสิ่งบางอย่าง ความรักชนิดนี้ทำให้มนุษย์รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่ อันตรายของความรักชนิดเช่นนี้ก็คือ บางครั้งมันกลายเป็นความหลงผิด ยึดติดถือมั่นในกลุ่ม ในหมู่ ในพรรค ในเผ่า ในพันธุ์ของตัวเอง แล้วกลายเป็นสงครามระหว่างชาติพันธุ์ ระหว่างผิวสี ศาสนา ลัทธิ การเมือง ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วนับครั้ง ไม่ถ้วน เช่น ฮิตเลอร์สังหารชาวยิวเพราะอะไร หรือสงครามครูเสดเกิดขึ้นยาวนานหลายร้อยปี ก็เพราะทุกคนอยากจะปกป้องพระเจ้าของตนเอง รวมทั้งสงครามแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย ความรักชนิดนี้ลึกๆ เข้าไปอาศัยคำว่าลัทธิ อุดมการณ์เป็นเครื่อง หล่อเลี้ยง เป็นเครื่องเชื่อมโยงที่สำคัญ"
    4.รัก คือการให้ เป็น รัก ที่มีแต่ให้ เป็นความรักที่มาพร้อมกับปัญญา ความรักที่ 1-3 อิงอารมณ์คือความรู้สึกเป็นรากฐานที่สำคัญ แต ่ความรักชนิดที่ 4 อิงปัญญาคือความรู้สว่างกระจ่างแจ้งในโลกและชีวิต ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จนมนุษย์สามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากมายาคติคือสิ่งที่เป็นความลวงทุกชนิด เหมือนพอเมฆที่เคลื่อนออกไปฟ้าก็เปิดทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่างในทิศทั้ง 4 "อุปมา ให้เห็นง่ายๆ รักแท้คือกรุณา เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดลงผืนโลก โดยที่ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นน้ำก็ไหล เป็นจันทร์ก็ส่อง เป็นนกก็ร้องเพลง โดยไม่เคยถามว่าใครเคยเห็นความสำคัญของฉันหรือ โดยไม่เคยถามว่าฉันจะได้อะไรตอบแทนไหม ฉะนั้นวิวัฒนาการสูงสุดของความรักก็คือ รักแท้คือกรุณา เราต้องไปให้ถึงความรักชนิดเช่นนี้ จึงจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษยชาติจะต้องไปให้ถึง"
 
     
            พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ยังได้ให้คำนิยามความรักที่เราสามารถเข้าใจได้ง่ายๆว่า "ความรักในทรรศนะของอาตมากล่าวอย่างสั้นที่สุดคือกรุณา คือจิตใจอันใหญ่หลวงที่สามารถรักคนได้ทั้งโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ รักแท้คือกรุณาจะมาหลังจากการผลิบานทางปัญญาเสมอไป ถ้าไม่ได้มาพร้อมปัญญาเป็นได้แค่มายาการณ์ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นได้แค่ความรู้สึก... ฉะนั้น ถ้าไปดูพระพักตร์ของพระพุทธรูป ทุกองค์ ยิ้มทุกองค์ ทำไมยิ้ม เพราะจิตท่านเบิกบานผ่องใส ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่ยิ้มให้กับคนทั้งโลก รักที่แท้จะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดใครไม่ลงเลย"  
     
            ขอหยิบยกมาจากบางช่วงบางตอนจากหนังสือมหัศจรรย์แห่งรัก(Love Analysis Vol.1และVol.2) นะคะ ถ้าหากใครสนใจหรืออยากรู้มากกว่านี้หาอ่านกันได้ที่ www.dhammatoday.com หรือจากหนังสือเล่มดังกล่าวนะคะ  
     
            เมื่อพิจารณาตามคำสอนของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี แล้วก็จะพบว่า ความรัก ในสังคมปัจจุบันเป็นความรักในมิติที่หนึ่งจนถึงมิติที่สามเสียส่วนใหญ่(บางคนก็มีซะครบทั้งสามมิติเชียว)... สำหรับรักแท้คือการให้และคือกรุณาหรือรักในมิติที่สี่นั้นก็ยังคงมีอยู่จริงเพียงแต่อาจจะหายากหรืออาจจะไม่ค่อยมีการหยิบยกมานำเสนอเท่าใดนัก... และหากใครต้องการมีรักแท้อย่างเช่นในมิติที่สี่แล้วไซร้ก็จะต้องมีปัญญาเป็นพื้นฐานมิใช่ตั้งอยู่บนอารมณ์... ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีสติ... หากเราจะริรักโดยขาดสติชีวิตของคนเราก็คงจะพบแต่ รักลวง พราง กันอยู่ร่ำไป ดั่งคำกล่าวที่ว่า "สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา"... และไม่ว่าความรักจะเป็นอย่างไร รูปแบบไหน ก็เชื่อว่าทุกๆคนต่างก็... อยากเป็นคนที่ถูกรัก... กันทุกคนจริงไหมล่ะคะ (ไม่เว้นแม้แต่คนเขียนด้วยนะคะ)  
     
            อ้างอิงและขอบคุณข้อมูล: หนังสือ มหัศจรรย์แห่งรัก (Love Analysis Vol.1และVol.2) โดย ว.วชิรเมธี :เว็บไซด์ Dhamma Today ธรรมะออนไลน์ เพื่อไทย เพื่อโลก  
     
 
เรื่อง และถ่ายภาพ alexlivfc@hotmail.com