ครั้งหนึ่งบ้านพักฉุกเฉินได้เคยดูแล น้ำ เด็กหญิงผิวสองสี ผมยาวหยักศก น้ำเป็นเด็กวัยรุ่นตอนต้น แต่มีร่างกายที่โตเป็นสาวเกินกว่าวัย เธอเข้ามาพักที่บ้านพักฉุกเฉินด้วยปัญหาถูกกลุ่มวัยรุ่น 4 คนรุมโทรม ระหว่างที่พักฟื้นฟูบำบัดและเยียวยาจิตใจอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉิน น้ำมักจะมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ คล้ายคนที่มีอารมณ์สองขั้ว บ่อยครั้งที่เธอจะร่าเริงจนเกินเหตุ และก็บ่อยครั้งอีกเช่นเดียวกันที่เธอจะปลีกตัวออกจากผู้คนไปนั่งหดหู่ซึมเศร้าเพียงลำพัง ซ้ำร้ายน้ำยังพยายามฆ่าตัวตาย
อาการเหล่านี้เป็นผลพวงจากเหตุร้ายอันแสนสาหัสที่น้ำได้พบเจอ แม้ในความจริงที่เธอได้หลุดพ้นมาจากสัตว์นรกเหล่านั้นแล้ว แต่ในยามหลับชายโฉดกลุ่มนั้นก็ยังตามมากระทำกับน้ำแทบทุกค่ำคืน น้ำบอกว่า ตายไปซะเลยอาจจะดีเสียกว่า ซึ่งความคิดเช่นนี้ไม่ได้ผิดแปลกอะไรเพราะเหยื่อที่ถูกข่มขืนส่วนใหญ่ต่างก็คิดเช่นเดียวกับเธอ...
น้ำเป็นเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจาก ตาและยาย บ้านของน้ำนั้นเป็นบ้านสวนที่ต่างจังหวัด ฐานะครอบครัวค่อนข้างดี ส่วนวัยรุ่นที่กระทำสิ่งชั่วร้ายกับน้ำก็คือ กลุ่มเด็กหนุ่มในละแวกบ้านของเธอนั่นเอง หลังจากเกิดเหตุได้มีการแจ้งความดำเนินคดี แต่คดีก็ยังไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เจ้าหน้าที่บ้านพักฉุกเฉินจึงได้ประสานกับตำรวจท้องที่เจ้าของคดี และนัดวันที่จะไปชี้สถานที่เกิดเหตุ ในวันที่ต้องพาน้ำกลับไปยังสถานที่ๆ เปรียบดังขุมนรกสำหรับเธอ น้ำมีอาการวิตกกังวล และหวาดกลัว เมื่อการชี้สถานที่เกิดเหตุสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปรึกษากับทีมบ้านพักฉุกเฉินว่า สายสืบไม่สามารถลงพื้นที่ได้เนื่องจากคนพื้นที่รู้จักตำรวจและสายสืบทุกคน จึงอยากขอความร่วมมือทีมบ้านพักฉุกเฉินในการเป็นสายสืบให้ในครั้งนี้ โดยให้น้ำพาไปชี้บ้านผู้ต้องสงสัยและเจ้าหน้าที่ลงไปเป็นสายสืบสอบถามรายชื่อสมาชิกที่พักอาศัยในบ้านนั้นๆ ซึ่งตำรวจต้องการข้อมูลเพื่อมาคัดข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ พร้อมรูปหน้าตอนที่เขาทำบัตรประชาชนให้น้ำได้ชี้ตัวคนร้ายว่าคือคนไหนและจะได้ออกหมายจับให้ได้ครบทุกคน
เจ้าหน้าที่ของบ้านพักฉุกเฉินที่ไปปฏิบัติงานในวันนั้นคือนักสังคมสงเคราะห์ผู้หญิง 1 คน นักจิตวิทยาผู้หญิง 1 คน และคนขับรถผู้ชายอีก 1 คน เมื่อรุ่นพี่นักสังคมสงเคราะห์นั้นใส่เสื้อที่มีตราของสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ จึงไม่สามารถรับงานนี้ได้ หวยจึงมาออกที่นักจิตวิทยาที่สวมใส่เพียงเสื้อยืดคอโปโลและกางเกงยีนส์เท่านั้น
เอ่อ... หนูขอพี่คนขับรถตามหนูลงไปด้วยนะ... เผื่อเกิดอะไรจะได้มีเพื่อน นักจิตวิทยาต่อรองด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ พร้อมเหงื่อที่ไหลซึมฝ่ามือ พลางคิดในใจว่าต้องเข้าบ้านคนร้ายเชียวนะ
พี่ต้องทำให้ได้นะ... หนูไปไม่ได้นะหนูกลัว... ช่วยหนูนะ น้ำอ้อนวอนพร้อมทั้งส่งสายตาฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เธอ
โอเคพี่ไปเองไม่ต้องกลัว... พี่จะเป็นลูกจ้างสาธารณสุข และกันแบบว่ามาเก็บข้อมูลคนเป็นไข้เลือดออก... โอเคไหม? นักจิตวิทยาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดแผนได้อย่างเฉียบพลันเพราะช่วงนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาด และทั้งทีมต่างพยักหน้าเป็นอันเห็นด้วยกับเธอ หลังจากนั้นตำรวจเปลี่ยนไปขับรถแทน พอผ่านบ้านผู้ต้องสงสัยก็ส่งนักจิตวิทยา กับคนขับรถลงและบอกว่าจะไปจอดให้ห่างหน่อยเขาจะได้ไม่สงสัย
สวัสดีค่ะ... มีใครอยู่ไหมคะ นักจิตวิทยาเธอทำใจดีสู้เสือตะโกนเสียงดังเข้าไปในบ้าน ส่วนด้านหลังเธอก็มีคนขับรถเดินชมนกชมไม้ตามมาอย่างแนบเนียน
หนู... มาหาใครเหรอลูก หญิงวัยผู้ใหญ่ตอนปลายผมบ๊อบสั้น ผิวสองสี รูปร่างท้วม เดินออกมาทักทาย
หนูเป็นลูกจ้างจากสาธารณสุขจังหวัดมาเก็บข้อมูลเรื่องไข้เลือดออกน่ะค่ะ เพราะแถวนี้เป็นพื้นที่เสี่ยง บ้านสวนแหล่งน้ำเยอะ ยุงชุมค่ะ นักจิตวิทยาชวนเจ้าของบ้านคุยทั้งที่ใจเต้นจนแทบจะเด้งหลุดออกมานอกอก
อ๋อเหรอลูก... เออเมื่อเดือนที่แล้วบ้านโน้นเขาก็เคยมีลูกเป็นไข้เลือดออกนะ ป้าเจ้าของบ้านตอบมาอย่างเข้าทางเธอเลยทีเดียว ซึ่งระหว่างนั้นนักจิตวิทยาก็เดินเข้าไปในบริเวณบ้านมากขึ้นๆ เพราะเธอได้แลเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่หันมามองเธอแบบเลิ่กลั่กและมีพิรุธ... นักจิตวิทยาสาวจึงล็อคเป้าหมายในทันที... เธอขออนุญาตเจ้าของบ้านเพื่อตัดเข้าสู่ประเด็นสำคัญในทันที
เดี๋ยวหนูขอถ่ายรูปรอบๆ และขอสอบถามข้อมูลเบื้องต้นนะคะ
ได้ลูก คุณป้าตกปากรับคำอย่างคนมีอัธยาศัยดี พิจารณาดูแล้วคงไม่ได้ทราบถึงพฤติกรรมอันชั่วช้าของลูกหลานในปกครองของตนเลย เมื่อได้รับการตอบรับจากฝ่ายตรงข้าม นักจิตวิทยาจึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพบริเวณบ้าน คูน้ำข้างบ้าน และ รีบเบี่ยงมุมกล้องเพื่อให้เด็กหนุ่มสองคนนั้นเข้าสู่เลนส์กล้องของเธออย่างรวดเร็ว แต่รวดเร็วยิ่งกว่าคือเป้าหมายของเธอต่างรีบวิ่งหลบไปหลังบ้านอย่างทันที... เธอจึงต้องเก็บอาการหัวเสียจากการพลาดหลักฐานสำคัญและหันมาเจรจาพาทีกับคุณป้าผู้ใจดีต่อไป
บ้านนี้อยู่กันกี่คนเหรอคะ มีใครชื่ออะไรบ้างคะ
เมื่อไม่ได้ภาพอย่างที่คาดหวังเธอจึงเปลี่ยนแผนมาเก็บรายละเอียดอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ พร้อมยกกล้องถ่ายเลขที่บ้าน ซึ่งบ้านนี้มีเจ้าบ้านเป็นเจ้าหน้าที่ตำบล จึงมีชื่อสกุลเจ้าบ้านติดอยู่ด้วย ซึ่งก็คือคุณป้าที่ออกมาต้อนรับเรานั่นเอง คุณป้าได้บอกรายละเอียดให้เราทราบว่า ในบ้านมีสมาชิกกี่คนและชื่ออะไรบ้าง นักจิตวิทยาจดชื่อไว้อย่างเสร็จสรรพ ก่อนลากลับก็ยังได้ถามสารทุกข์สุกดิบพร้อมทั้งบอกวิธีการกำจัดยุงลายเพื่อป้องกันไข้เลือดออกแก่ครอบครัวคุณป้าผู้มีน้ำใจอีกด้วย
ออกมาจากบ้านนั้นทั้งนักจิตวิทยาและคนขับรถต่างเหงื่อซก ไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะกลัวถูกเขาจับได้ หรือว่าเพราะร้อนและเดินไกลก็ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน อีกทั้งพี่ตำรวจยังจอดรถห่างไปสักครึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้
จากบ้านแรกก็ไปต่อที่บ้านผู้ต้องสงสัยหลังที่สอง ซึ่งก็สอบถามข้อมูลเช่นเดิม ให้ความรู้เรื่องไข้เลือดออกไปหนึ่งจบและกล่าวลา นักจิตวิทยาและคนขับรถยังเหงื่อแตกเช่นเดิม.... ตำรวจจอดรถไกลเช่นเดิมหรือจะตื่นเต้นหวาดกลัวเช่นเดิม... ก็ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด
บ้านหลังสุดท้ายผู้บ้านของต้องสงสัยที่มีอายุมากกว่าใครๆ ในกลุ่ม อายุของเขาประมาณ 20 กว่าปี แต่เขาไม่อยู่บ้าน จึงได้เพียงสอบถามข้อมูลคนข้างบ้านและเก็บภาพบริเวณบ้านโดยรอบ... จบภารกิจสายสืบ...
หลังจากได้ข้อมูลทุกอย่างแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้โทรศัพท์ติดต่อกลับไปยังสถานนีตำรวจและนำชื่อ-สกุล ที่อยู่ คัดข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ในทันที เมื่อกลับมาถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิมพ์รูปหน้าและข้อมูลผู้ต้องสงสัยไว้รอให้น้ำได้มาชี้ตัวทั้งหมด เหลือเพียงหนึ่งคนที่ไม่มีรูปหน้า เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ทำบัตรประชาชน ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ สายสืบได้ไปตามแอบถ่ายรูปและส่งมาให้น้ำได้ทำการชี้ตัวเป็นอันเรียบร้อย
หลังจากการร่วมมือทำงานเป็นทีมของทั้งเจ้าหน้าที่บ้านพักฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่ตำรวจ น้ำและครอบครัว ก็ได้รับข่าวดีว่าตำรวจได้จับผู้ต้องหาได้แล้วทั้งหมด 3 คน หนีไปได้ 1 คน คือคนที่อายุมากที่สุด แม้จะจับสัตว์นรกใจโฉดได้ไม่ครบทุกราย(ตัว) แต่เราก็สามารถใช้เงื้อมมือของกฏหมายจัดการกับคนชั่วได้เกือบหมด ส่วนอีกรายที่หนีไปได้ตำรวจได้ออกหมายจับจนต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ต่อไป
แต่แม้จะจับผู้กระทำผิดได้ เราทุกคนโดยเฉพาะน้ำและครอบครัว ก็ยังต้องต่อสู้ต่อไป กับ กระบวนการดำเนินคดีที่ยาวนาน การต้องใช้ความอดทนในการไปขึ้นศาล การต้องอดทนต่อความโกรธ ต่อความหวาดกลัว และ การเฉียดใกล้ต่อสายตาอันโกรธแค้นของญาติพี่น้องของผู้กระทำ... และท้ายที่สุด... ความยุติธรรมยังคงมีอยู่... ผลสิ้นสุดของคดีนี้ผู้กระทำมีความผิดจริง จึงต้องรับโทษตามกฏหมาย... ผู้เยาว์ก็เข้าสู่สถานพินิจฯ... ซึ่งเราได้แต่หวังว่าเมื่อกลับออกมาสู่สังคมภายนอกอีกครั้ง เยาวชนเหล่านี้จะคิดและกลับตัวได้ ไม่ประพฤติตนเป็นภัยสังคมสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและพ่อแม่ผู้ปกครองของตนเองอีกต่อไป
ส่วนชีวิตของน้ำถึงแม้ชนะคดี จิตใจของเธอก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ ฝันร้ายไม่ได้หายไปในวันที่ศาลตัดสิน ดังนั้นน้ำยังคงต้องทานยา และ บำบัดจิตใจอย่างต่อเนื่องจน ณ ปัจจุบันเธอสามารถข้ามพ้นวิกฤติในชีวิตมาได้... แม้ในวันนี้ชีวิตน้ำจะดีขึ้นและเข้มแข็งขึ้นแต่ทุกคนต่างก็รู้ว่า... ฝันร้ายของน้ำก็ยังจะอยู่กับเธอตลอดไป...