เช้าวันหนึ่ง



          "โอ้ย.. ไอ้สตีฟ.. แกไปสำส่อนที่ไหนมาเนี่ย... ติดไวรัสอีกแล้ว... ฮือ.. ฮือ.. บอกแล้วให้ป้องกันๆ... เวลาไปจูบกับใครหัดดูตาม้าตาเรือมั่งสิวะ... เซ็ง.. ฮือ... เซ็ง.... ฮือๆ... เป็นไงล่ะหมดกัน ตรูเลยซวยไปด้วยเลย... ฮือๆ" เสียงบ่นอันยาวเหยียดดังมาเรื่อยๆ สลับไปกับเสียงครางอย่างเจ็บปวด แต่ฟังแล้วเหมือนต้นกำเนิดเสียงที่ว่า จะใส่ความดัดจริตของตนลงไปด้วย น้ำเสียงจึงไม่น่าจะร้ายแรงเท่าไหร่ แต่จากเนื้อความที่มันบ่น ทำให้เพื่อนร่วมงานในออฟฟิศหูผึ่งขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

           "เฮ้ย... ไอ้ตาลแกเป็นไร" นี่เสียงพี่บอยที่ร้องทักขึ้นเป็นคนแรกเพื่อเปิดประเด็นให้คนอื่นๆ ที่ยิงประเด็นเข้าใส่ตาลอย่างกับเกมปาเป้ายังไงยังงั้น

          "สตีฟนี่แฟนแกเหรอ" นี่พี่จุ๋มคนสวย เลขาชมรมคนปากหมา...น

          "แกติดโรคจากแฟนเหรอไอ้ตาล" นี่ยัยส้ม 1 ในสมาชิกชมรมคนปากหมา...น

         "โรคอย่างว่าเหรอ" นี่ก็พี่โจ้รองประธานชมรมคนปากหมา...น

          "แกมีแฟนแล้วเหรอวะ" นี่พี่บอย

           "แกติดโรคอะไรตาล" นี่ยัยกล้วยผู้ช่วยประธานชมรมคนปากหมา...น

          "นั่นแหล่ะเล่นตัวดีนัก.. ทีเวลาเราชวนทำเป็นไม่ไปๆ.. เป็นไงล่ะชอบของนอกก็ไม่บอก" ประโยคนี้ออกมาจากปาก (ที่คงไม่ผ่านสมองก่อน) ของพี่แบงค์ เพลบอยประจำออฟฟิศ

          อ้าวนั่นได้อีกเรื่องแล้วไหมล่ะเรา... ท่าทางจะไปกันใหญ่แล้ว ... สาวตาลประธานจอมเฮี้ยวของชมรมคนปากหมา...น คิดอยู่ในใจ และเปิดปากยุติเรื่องที่ดูท่าจะบ้าไปกันใหญ่ให้จบลง

          "โว้ยนี่ไม่ใช่เกมปาเป้างานวัด 3ดอก20 กับ 7ดอก50 นะโว้ย...จะบ้ากันใหญ่แล้วพวกนี้...ฟังให้ดีนะ..." สายตาทุกคู่ของทุกคนพุ่งตรงมายังตาลอย่างจดจ่อ "คือว่า flash drive เก็บงานของตาลมันโดนไวรัส.. เท่านั้นเอง" ตาลเริ่มสาธยายเรื่องราว

          "ไปเรื่อยเลยนะตาล flash drive อะไรก็เธอเรียกชื่อว่าสตีฟไง..." เสียงพี่แบงค์ขัดขึ้น

          "ไอ้พี่แบงค์... ก็ตาลตั้งชื่อให้ flash driveไม่ได้ง๊ะ"

          "เออ.. จริง... ก็ของใช้ยัยตาลมันมีชื่อทั้งนั้นแหล่ะพี่ อย่างโคมไฟมันชื่อไอ้เฉื่อย... คอมพิวเตอร์มันชื่อแฮปปี้.. รองเท้ามันชื่อไอ้ยิ้ม. มือถือมันชื่อไอ้กอสซิบ... เงี้ยพี่" ยัยกล้วยเพิ่งนึกถึงนิคเนมของบรรดาของใช้ของเพื่อนได้จึงช่วยเสริมให้

          "คนบ้าไรวะ... ตั้งชื่อให้ของใช้" เสียงบ่นมาจากพี่แบงค์ และยังมีเสียงบ่นพึมพำมาจากคนอื่นๆ เออพวกนี้มันบ่นเพราะผิดหวังที่เธอไม่เป็นโรคอย่างว่าหรือไงฟะ

          "ก็มันเป็นของใช้ของตาลนี่.. ไม่ใช่ของคนอื่นตาลก็ต้องตั้งชื่อให้มันสิ.. มันจะได้มี 1 เดียวไม่เหมือนของโหลๆ"

          "เออ.. แล้วเป็นไงข้อมูลมีเก็บไว้ที่อื่นอีกรึเปล่าหรือต้องทำใหม่" พี่โจ้ถามอย่างห่วงใยรุ่นน้องตัวแสบ

          "ก็พอมีที่เก็บลงแผ่นกับในเมลล์น่ะพี่แต่ขี้เกียจหาชะมัด.. และก็ในเครื่องก็พอมีอยู่บ้าง"

          "เฮ้ยแล้ว โปรเจคใหม่อยู่ในนั้นด้วยเปล่าตาล" เสียงยัยส้มตะโกนมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร

          "หาย...." ตาลตอบออกไปเสียงแผ่ว

          "เฮ้ย!" เสียงทุกชีวิตในออฟฟิศตะโกนออกมาพร้อมกัน นี่ไม่ต้องมีผู้ควบคุมวงเลยนะเนี่ยหลังจากนั้นวงคอรัสก็ทำท่าจะเข้ามารัดคอตาลแบบว่า... เอาให้ตาย.. อะไรเงี้ย

          "เดี๋ยวๆ... อย่าเพิ่งฆาตกรรมตาล.. ฟังให้จบก่อนสิแหม... แหมๆ" เธอทำท่าปางห้ามเพื่อน เพื่อเบรคฆาตรกร พวกนั้นเสียก่อน แต่ก็ยังไม่วายแกล้งทิ้งท้ายประโยคอย่างยียวนกวนอารมณ์ พร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปอย่างเรี่ยราด แต่ก็อุบไปได้ไม่นานเพราะดูท่าทางเพื่อนจะหมดความอดทน

          "ที่บอกว่าหายน่ะ... หมายถึงหายห่วงจ้ามีอยู่ในเครื่องจ้า... เลิกทำท่ากะเหี้ยนกะหือรือ จะเข้ามาฆ่าตาลได้แล้ว... 555."

          "ฮึ่ม...ไอ้ตาลแกนี่มันกวนโอ้ยจริงๆ" พี่บอยทำเสียฮึ่มฮั่มในคออย่างหมั่นเคี้ยว

          "งั้นเรามารวมหัวเฮอริเคนกันเถอะ" ตาลเอ่ยชักชวนทีมงานในออฟฟิศ

          "อะไรของแกวะตาล ไอ้เฮอริเคนเนี่ย" ส้มโต้กลับมาเพื่อคลายข้อสงสัยให้กับทุกคนที่กำลังคิดว่า ยัยตาลมามุขไหน

          "เชยจริงจริ๊งพวกนี้ ก็เบรนสตอร์มไง... แค่นี้งงไปได้" ตาลตอบอย่างภาคภูมิใจในความฉลาดล้ำของตนเอง

          "โห.. มุขแกนะเนี่ย..." พี่บอยบ่นอย่างปลงๆ

          "ฉันกลัวมันจะเป็นแค่ดีเพรสชั่น หรือไม่ก็แค่หย่อมความกดอากาศต่ำมากกว่าว่ะ... แค่แกคิดมุขก็แป๊กแล้ว น่ายืนไว้อาลัยจริงจริ๊ง"

          "โห.. หมานก่าตาลอีกพี่โจ้.. มาเป็นประธานชมรมปากหมา...น.. เลยมาจะสละตำแหน่งให้... แหมเป็นแค่รองประธานทำข้ามหน้าข้ามตานะเนี่ย"

          "เออ.. ประชุมก็ดีจะได้ปิดโปรเจคเร็วๆ... ไอ้ตาลแม่งานเตรียมเอกสารดิ" พี่บอยสรุปประเด็นก่อนที่ประธานกับรองประธานมันจะปะฉะดะกันซะก่อน ส่งผลให้ตาล และพี่โจ้ต้องหุบปาก และกลืนถ้อยคำอวยพรฝ่ายตรงข้ามกลับลงไปสู่หลอดลม และไปนอนนิ่งอยู่ในกล่องเสียงตามเดิม และตาลก็ต้องเร่งมือจัดการก๊อปปี้เอกสารแจกทุกคนในทีม เพื่อให้ทันเฮอริเคนที่จะเกิดขึ้นในไม่อีกนาทีข้างหน้า

          "ตามเอกสารที่แจกให้กับทุกคนนะค่ะ ลูกค้าของเราต้องการทำของที่ระลึกครบรอบ 30 ปีของบริษัทเพื่อแจกแก่พนักงานและผู้มีอุปการะคุณ ซึ่งมีเสปคว่า เป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ใช้สอยได้ในชีวิตประจำวัน มีเอกลักษณ์โดดเด่นและทันสมัย… ใครมีไอเดียสำหรับเจ้าสิ่งนี้บ้างคะ" ตาลเริ่มเรื่องอย่างเป็นงานเป็นการ

          "พวงกุญแจไหม..."

          "สมุดโน้ต..หรือสมุดบันทึกไหม..."

          "แก้วไหม..."

          "ปากกาดีกว่า..ไหม.."

          "ตุ๊กตาไหม..."

          "กระเป๋าดีกว่าน่า..."

          แล้วหลังจากนั้น หย่อมความกดอากาศต่ำก็เพิ่มกำลังแรงเป็นดีเพรสชั่น... ใต้ฝุ่น... ทอร์นาโด และเฮอริเคนตามลำดับ ทุกคนเบรนสตอร์มกันอย่างเมามัน ไม่มีใครฟังใคร มีแต่คนพูดหาคนฟังไม่ได้ นอกจากตาลคนเดียวที่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์เช่นเดียวกัน

          "โอ้ยหยุด... ยู้ด.. ปัง!" ตาลตะโกนแต่ไม่เกิดผล จึงต้องตบโต๊ะ เพื่อยุติพายุความคิดและน้ำลายของทุกคน... ได้ผลเหตุการณ์กลับสู่สภาวะปกติ

          "ไอ้ที่เสนอกันมา... เท่าที่ฟังออกไม่เห็นมันจะเด่นมีเอกลักษณ์ตรงไหนเลย" เธอยิงคำพูดใส่เหมือนกับงูพ่นพิษ

          "งั้นเธอล่ะมีไอเดียอะไรดีๆมาเสนอ... ทำมาว่าคนอื่น" ไอ้พี่แบงค์เสเพลนี่... มันน่านัก

          "แหม คนอย่างตาลซะอย่างต้องมีอยู่แล้วล่ะค่ะ... มือชั้นนี้แล้ว... บังเอิญว่าตาลได้ไอเดียจากความสำส่อนของคนบางคน... โอ๊ะๆๆ พูดผิดน่ะค่ะ.. ความสำส่อนของเจ้าสตีฟน่ะคะ ที่ไปจุ๊บใครไม่เลือกหน้า"… แบบว่าถ้าคลำแล้วไม่มีหางก็ได้เลยน่ะ... ตาลจีบปากจีบคอพูดทำเสียงให้กระแดะๆ หน่อยอย่างน่าหมั่นไส้... ส่วนข้อความท้ายประโยคนั่นละไว้ในฐานที่รู้อยู่ในใจตนเองคนเดียวเพราะเกรงใจพี่คนอื่นๆ... เธอประสานสายตาที่มีลูกไฟอันท้าทายไปยังพี่แบงค์ ซึ่งก็ส่งสายตาเคียดแค้นมาให้เธออย่างรู้เท่าทันกัน

          "เออรู้แล้วว่าเก่ง... ไหนรีบๆ บอกมาสิทุกคนรอฟังอยู่" พี่บอยขัดจังหวะเหมือนกรรมการเคาะระฆังหมดยก... ความจริงแกน่าจะไปเป็นกรรมการห้ามมวยนะเนี่ย มีพรสวรรค์ซะขนาดนี้

          "ก็ได้... คือตาลคิดว่าเราน่าจะทำ flash drive เก็บข้อมูลเป็นที่ระทึก... เอ่อ... ระลึกน่ะค่ะ อาจจะทำเป็นรูปถุงยางอนามัย รูปยาคุม อะไรเงี้ย" ตาลเสนอไอเดียที่เพิ่งจะผุดเข้ามาในหัว เพราะเจ้าสตีฟ flash drive ของหล่อนกับพฤติกรรมของไอ้พี่แบงค์จอมเสเพล โดยเฉพาะไอ้อย่างหลังเนี่ยเป็นแรงบันดาลใจเรื่องความสำส่อนโดยเฉพาะ

          "มันก็สร้างสรรค์มีเอกลักษณ์ดีนะเนี่ย" ยัยกล้วยสนับสนุนเพื่อนเต็มที่

          "อือ.. ส้มก็ชอบนะตาล.. พี่จุ๋มล่ะค่ะว่าไง"

          "พี่ว่าก็เท่ดีนะ.. แบงค์ล่ะ" พี่จุ๋มพยักพเยิดไปยังคู่ปรับของหล่อน

          "ก็... ดี" ? ไอ้พี่แบงค์ทำเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้ แต่คงจะชอบมั่งล่ะ ไม่งั้นคงไม่มีทางคิดไปในทางเดียวกับตาลเป็นแน่นอน

          "พี่ชอบด้วยเจ๋งดี" พี่โจ้ก็ยกนิ้วโป้งให้เลย

          "พี่ก็ว่าไอเดียดี... เพราะลูกค้าเราก็มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิง และก็เขาก็มีงานช่วยเหลือสังคมด้านเด็กและสตรี.. แต่ว่านะ... มันล่อแหลมต่อแนวคิดทัศนคติของสังคมนะตาล" พี่บอยแสดงความคิดเห็นและเหตุผลอย่างผู้ใหญ่ ที่มองอะไรกว้างและไกลไม่ฉาบฉวย

          "อือ... ก็จริงค่ะ แต่ตาลคิดว่าถ้าเราทำ flash drive แบบนั้นขึ้นมามันก็จะได้เป็นเครื่องช่วยเตือนทั้งเรื่องการใช้ flash drive ที่ต้องระวัง และมีการแสกนไวรัสก่อนใช้ทุกครั้ง ไม่ส่งต่อไวรัสคอมพิวเตอร์ไปตามเครี่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีการป้องกันด้วยถุงยางอนามัยด้วยยาคุม หรือด้วยการไม่สำส่อนไปทั่ว เราก็จะสามารถป้องกันหรือลดอัตราการท้องไม่พร้อม การติดโรคทางเพศสัมพันธุ์ได้มาก และก็คงไม่ต้องไปแก้ปัญหาด้วยการทำแท้ง หรือปล่อยให้เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เกิดมา ทั้งที่พ่อแม่อายุยังไม่ทำบัตรประชาชนด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ไม่มีทั้งพ่อและแม่แล้วต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อะไรอย่างเนี้ยพี่"

          "พี่เห็นด้วยในด้านนั้นนะ... แต่สังคมไทยน่ะยังไม่เปิดเรื่องเพศ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอามาเปิดเผยสู่สังคมได้ ขนาดเรื่องจะให้มีตู้ขายถุงยางอัติโนมัติในมหาวิทยาลัย ยังถกเถียงกันอยู่ตั้งนานและไม่มีจุดจบ... ดูอย่างกรณีกฏหมายทำแท้งสิ ยังถกกันไม่จบเลย" พี่บอยเสนอแง่คิดอีกด้านหนึ่งของสังคมไทย

          "ใช่นะตาลดูอย่างกรณี 2002 ศพ ที่วัดไผ่เงินสิตาล ปลุกกระแสสังคมอย่างมากเลยนะ" ยัยกล้วยเริ่มย้ายข้าง

          "แล้วเป็นไงล่ะแกเรื่อง 2002 ศพน่ะ ฉันก็เห็นหาแต่คนผิดคือผู้หญิงที่ไปทำแท้ง... เป็นแม่ใจยักษ์... ใจร้าย... โหดร้ายสารพัดแล้วพอท้องไม่มีพ่อก็ว่าใจง่าย... ใจแตก... อยากรู้จริงไอ้กระบวนการทำลูกนี่มันทำได้คนเดียวหรือไงวะ... แล้วก็เถียงกันสารพัดไม่เห็นมีทางออกหรือการช่วยเหลือผู้หญิงที่เจอปัญหาพวกนั้นเลย สุดท้ายผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมก็ยังคงต้องไปแสวงหาที่ทำแท้งเถื่อนกันต่อไป แถมยังหายากกว่าเดิมด้วยมั้ง เพราะถูกปิดไปเยอะนี่ช่วงนั้นน่ะมีแต่ข่าวออกเรื่องปิดคลินิกทำแท้งไม่เว้นแต่ละวัน... แล้วตอนนี้เป็นไงเงียบไปแล้ว ประเทศเราน่ะมักจะทำอะไรแบบไฟไหม้ฟาง แล้วก็วัวหายค่อยล้อมคอก"

          "เฮ้ยแต่ฉันได้ยินมาว่า เขาจะออกกฏหมายให้ฝ่ายชายมีส่วนรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ด้วยนี่หว่าแก" ยัยส้มที่เอาแต่เงียบฟังคนโน้นคนนี้มาตลอด ออกความคิดเห็นจากการที่เคยติดตามข่าว 2002 ศพ มาบ้าง

          "จะทำได้จริงเหรอคงต้องตรวจ DNA สินะ... ขนาดเรื่องความรุนแรงเวลาผู้ชายทำร้ายเมียกับลูก... ผู้ชายยังสุขสบายได้อยู่บ้าน ส่วนเมียกับลูกต้องระเห็จหนีไปอยู่ที่อื่นเลยแก... จริงไหมพี่แบงค์" ตาลกล่าวอย่างเซ็งๆ และเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน แถมยังวกไปถามความเห็นจากคู่อริซึ่งดูจะเงียบผิดปกติ

          "นั่น วกมาหาเราจนได้ อุตส่าห์สงบปากสงบคำแล้วนะเนี่ย" พี่แบงค์บ่นอุบ และมีสีหน้าเบื่อหน่าย

          "อ๊ะ... ก็เห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญไง เลยถามความคิดเห็น กะว่าจะตั้งเป็นที่ปรึกษาซะหน่อย" เธอยียวนสวนกลับอย่างทันควัน

          "นี่แม่ยอดหญิงตาล แม่วีรสตรี... คนอย่างพี่แบงค์น่ะนะป้องกันทุกครั้งขอรับกระผม และก็ไม่ได้สำส่อนนะโว้ย... รู้จักเลือกนะโว้ย" พี่แบงค์เริ่มโวยเหมือนคนน็อตควบคุมสติตัวสุดท้ายกำลังคลายเกลียวออก เตรียมฟาดฟันกับตาลอย่างเต็มที่

          "ฮึ... รู้จักเลือกให้มันจริงเถอะ" ตาลยังคงตีรวนต่อส่วนคนอื่นๆ เอาแต่นั่งฟังส่งตาปริบๆ และหันหน้ามองตาลทีพี่แบงค์ที อย่างกับทำท่าคลายกล้ามเนื้อคอเพราะปวดเมื่อย

          "โอย พอทีเถอะไอ้คู่นี้... กัดกันตลอดมันจะกลายเป็นเฮอริเคนก็เพราะแกสองคนนี้แหล่ะ" พี่บอยเจ้าเก่าห้ามทัพไว้ก่อนที่ช้างจะชนกันต่อ

          "เออ นั่นสิ ทะเลาะกันได้ไงวะเนี่ย เริ่มจากเรื่องไอ้สตีฟของแกเลยไอ้ตาล แล้วดันโผล่มาเรื่องท้องเรื่องแท้ง เรื่องผัวตีเมียได้ไงเนี่ย ไหนว่าจะระดมสมองเรื่องโปรเจคใหม่ไง ตกลงสรุปว่าไงเนี่ย" พี่จุ๋ม ผู้ซึ่งต้องรับกรรมในการจดรายละเอียด และบันทึกการประชุมเกาหัวแกรกๆ อย่างปลงๆ

          "เอาเป็นว่าตาลลองไปต่อยอดไอเดียเจ้าสตีฟมาแล้วกัน และมาพรีเซนต์ในทีม และก็ถ้าใครมีไอเดียดีกว่านี้ก็ลองทำมาด้วยเลยแล้วกันนะ... เอ้าปิดประชุมแยกย้ายได้แล้ว" พี่บอยปิดการประชุมเสร็จสรรพพร้อมกับโบกมือไล่อย่างเฉพาะเจาะจงมายังตาลรุ่นน้องตัวแสบ กับไอ้แบงค์ตัวร้ายเพื่อนเพลย์บอยของตนเอง เนื่องจากแม้ทั้งสองจะสงบปากคำแล้ว แต่ยังมีรังสีอำมหิตที่ส่งมากระทบกันเปรี๊ยะปร๊ะอยู่ในแววตาของคนคู่นี้เหมือนจะบอกกันและกันว่า "ฝากไว้ก่อนเถอะ"


          ถุงยางอนามัยนั้น เปรียบเสมือนหน่วย ซีล (Seal หรือNavy SEAL เป็นหน่วยรบพิเศษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก) เพราะถุงยางอนามัยก็เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันตัวเชื้ออสุจิ หรือเซลล์สเปริ์ม (spermatozoa) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในร่างกายมนุษย์ผู้ชาย คือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 3000 นาโนเมตร และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถสกัดกั้นเชื้อโรคผู้ก่อการร้ายต่อสุขภาพร่างกายของคนเราได้ตั้ง 5 ชนิดดังนี้
1. เชื้อก่อโรคซิฟิลิส (Treponema pallidum) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 นาโนเมตร
2. เชื้อก่อโรคหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 นาโนเมตร
3. เชื้อก่อโรคหนองในเทียม (C. trachomatis) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 นาโนเมตร
4. เชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 นาโนเมตร
5. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี (hepatitis B virus) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 นาโนเมตร

          สุดท้าย และท้ายที่สุด ยังคงต้องเน้นย้ำกับทุกคนอีกครั้งว่าหากคุณยังคงมีแนวคิดหรือความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธุ์ดังนี้

  • "ก็คบกันมาตั้งนานแล้วไม่ต้องใช้ก็ได้" ถูกต้องที่คุณคบกับเขามานาน แต่เขาล่ะคบคุณคนเดียวหรือเปล่า ไม่ผิดที่คุณจะไว้ใจแฟนคุณ แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนอื่นๆของแฟนคุณปลอดภัยแน่หรือ?
  • "หน้าตาดูสะอาดดี ไม่มีอะไรหรอก" เคยได้ยินคำว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ไหม เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี เริม ซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหลายโรคที่ไม่ได้แสดงอาการทางใบหน้าและร่างกาย รู้ได้อย่างเดียวก็คือผลตรวจเลือด
  • "แค่ครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก" มีผู้หญิงและผู้ชายหลายคนติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และผู้หญิงอีกไม่น้อยตั้งท้องอย่างไม่ตั้งใจจากการมีเซ็กซ์เพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้ป้องกัน

          คุณคงต้องเตรียมรับกองโจรเชื้อโรคจู่โจมเข้าสู่ร่างกาย
อีกทั้ง ยังอาจต้องประสบกับปัญหาท้องไม่พร้อม ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่คุกคามความมั่นคงของครอบครัวและชีวิตคนไทยอยู่ในขณะนี้

เรื่อง/ภาพ alexlivfc@hotmail.com
ที่ปรึกษา ดร.เมทีนี พงษ์เวช